วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

32 ข้ออย่าพลาด บ่าว-สาว ต้องเตรียมตัวแต่งงาน



  1. คืนก่อนวันงานต้องเข้านอนเร็วๆ เพราะว่ากว่าจะข่มตาได้ก็คงต้องใช้เวลาก็มันตื่นเต้นนี่น่ะ
  2. ทานน้ำเยอะๆ ด้วยน่ะก่อนวันงานจะได้สดใส ระบบขับถ่ายดี สิวไม่รบกวน
  3. คืนก่อนวันงาน อาบน้ำให้สะอาดที่สุดจะได้สดชื่น แล้วก็อย่าลืมชโลมโลชั่นที่ใช้อยู่เป็นประจำ
    เพราะถ้าเป็นยี่ห้อใหม่อาจแพ้เดี๋ยวยุ่งเลยน่ะ
  4. สระผมเอาไว้ก่อน อย่าตื่นขึ้นมาสระวันงาน เพราะผมจะลื่นจับยาก
  5. เตรียมของที่ต้องใช้วันนั้น + ของที่ต้องเอาไปโรงแรมกองๆรวมไว้จะได้ไม่ลืมค่ะ
  6. อันนี้เพื่อนที่แต่งไปแล้วเตือนนักหนาว่า ต้องมีแม่งานมาช่วย
  7. วันงานทานแต่น้ำเปล่า/สไปร์ท เพราะถ้าหกเลอะชุดจะได้ไม่น่าเกลียด (เรื่องบางอย่างเกิดขึ้นได้)
  8. ในกรณีที่ช่างแต่งหน้าไม่ได้อยู่ด้วยจนเลิกงาน ควรพกพัฟท์แต่งหน้า/ กระดาษซับมัน แบบไม่มีแป้งไว้ด้วยกันหน้าเยิ้ม
  9. ทำใจให้สบาย และยิ้มๆๆๆๆๆๆ
  10. ทานอาหารลองท้องด้วย ต่อให้ตื่นเต้นขนาดไหน เพราะเดี๋ยวแก๊สขึ้นปวดท้องก็หมดสนุกกันหน่ะสิ
  11. พกของใช้ส่วนตัวไปด้วยน่ะวันงาน เช่น ผ้าอนามัย, ชุดเข็มด้าย, เข็มกลัดเล็ก-ใหญ, พลาสเตอร์ปิดแผลจ๊ะ
  12. หาคนไปตรวจสอบ และดูแลควมเรียบร้อยของบริเวณงาน แล้วก็หาคนที่จะช่วยเชิญแขกไปที่โต๊ะอาหาร ให้ดู plan ของโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย
  13. เจ้าบ่าว เจ้าสาว พยายามทำตวให้สวย ให้หล่อ ระหว่างที่ check in ห้องพักรอช่างแต่งหน้า ก็หาของกินมาทานก่อน
  14. .เครื่องประดับ เตรียมให้เรียบร้อยน่ะคะ อย่าให้ลืมเชียว
  15. โทร คอนเฟิร์มช่างแต่งหน้า
  16. ให้ช่างวีดีโอ ช่างถ่ายภาพ มาก่อนสัก ชั่วโมง มาเก็บรายละเอียดของสถานที่ก่อน
  17. ภาพหน้างาน อัลบั้มภาพ เอาลงไปวางไว้ก่อน พยายามเคลียร์ขงทุกอย่างที่ต้องใช้หน้างานให้ แสตนบายไว้ก่อน เช่น กล่องใส่ซอง เป็นต้น
  18. เพื่อนที่จะมานั่งหน้างานเนี่ย บอกให้เค้ามาตั้งแต่ 17.30 เลยน่ะครับ เพราะว่าสังเกตุหลายงานแล้วที่ คนนั่งหน้างานมาสาย เพราะว่าคนนั้งหน้างานต้องแต่งตัวดีๆ แล้วกำชับให้ ยิ้มไว้ อย่าหน้าบึ้ง
  19. ดอกไม้ในงานเนี่ย ช่างดอกไม้จะมีดอกไม่เหลือมาสแปร์เยอะพอสมควร เนื่องจากว่าพอจัดเสร็จปั๊ป เค้าจะเอาดอกไม้ ไปจัดที่ล๊อบบี้ ต่อ พยายามตีซี้ เค้าจะเเซมดอกไม้เพิ่มให้
  20. ถ้ามีเวลา พยายามทำทุกอย่างเป็น script เขียนให้ละเอียดที่สุดค่ะ แล้วแจกทุกๆคนที่เกี่ยวข้องค่ะ เพื่อที่วันงานทุกคนจะได้ เข้าใจตรงกัน 
  21. ไฟแต่งหน้าทำผมควรเป็น warm white (สีกลางๆ) ช่างจะทำงานง่ายกว่าค่ะ
    สำหรับเรื่อง Lipstick เลอะฟัน แนะนำให้ใช้ cotton bud ใหม่ๆสอดเข้าไปเช็ด ด้านในของริมฝีปากบนที่สัมผัสกับเหงือก (เวลาเช็ดให้เผยอริมฝีปากเล็กน้อย ไม่ต้องยิงฟัน) เท่านี้Lipstick ส่วนที่เกินเข้าไปด้านในริมฝีปากก็หมด ไม่สร้างปัญหาเวลายิ้มแล้วค่ะ
  22. วันงานอาจโดนถ่ายภาพได้ทุก ขณะค่ะ (ขณะจะเลียฟัน เวลาลิปสติกเลอะให้ ระมัดระวังค่ะ)
  23. ถ้าเจ้าบ่าวขอแอบงีบ ณ ขณะที่เจ้าสาวแต่งตัวพอตอนใกล้ๆเสร็จให้ปลุกให้ตื่นนะค้า แบบว่าไปเขย่าตัวก็ได้
  24. อย่าลืมกำชับเจ้าบ่าว่าอาบน้ำแล้วไม่ต้องสระผม และอย่าเอาน้ำราดหัวด้วยนะค้า ช่างจะทำผมให้ลำบากเพราะว่าจะต้องมาไดร์ให้ใหม่ค่า
  25. ระวังอาหารทานรองท้องจะอดหม่ำค่า เพราะโดนญาติแย่งหม่ำค่า
  26. อย่าลืมเอาชุดธรรมดาไปเปลี่ยนด้วยนะคะ เดี๋ยวพอกลับไปนั่งพักที่ห้องของโรงแรม แล้วพบว่าจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยน เพราะลืมเอาไปค่า
  27.  อย่าลืมเอากุญแจบ้านออกมาด้วยนะค้า เดี๋ยวจะเข้าบ้านบ่ได้ 
  28. ต้อง TEST เครื่อง Presentation ก่อนงาน และ ก่อนเริ่มงาน เผื่อขัดข้อง
  29.  เจ้าสาวที่ต้องเตรียมชุด เพื่อค้างที่โรงแรมเลย อย่าตื่นเต้นจนลืมชุดชั้นในนะค่ะ 
  30. วางแผนที่นั่งของแขกไว้คร่าว ๆ ก็จะดีค่ะ ตอนแขกมาจะได้สะดวกขึ้น
  31. คนถือเงินหรือแม่งานที่จะต้องคอยคุมเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ฉุกเฉินค่ะ เพราะบางคนอาจจะขอหลายต่อค่ะ 
  32. คนเก็บซองกับนับเงินในซองค่ะ สำคัญมากที่สุด เพราะบางคู่อาจนำเงินที่ได้ในคืนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายให้โรงแรมด้ วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีดี  จาก  www.wedingsquare.com

เทคนิคการเชิญแขก

เทคนิคการเชิญแขก


 ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเทียบเชิญแขกให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน ก็เป็นอีกเรื่องที่มักจะทำให้ตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเองเป็นกังวล เพราะเกรงว่าแขกจะมาน้อย หรือเกรงว่าแขกจะมามากจนขนาดของสถานที่จะไม่พอ อาหารไม่พอ วันนี้จึงขอนำเทคนิคง่าย ๆในการเชิญแขกมาฝากกันค่ะ เผื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะใช้เป็นแนวทาง

          ก่อนอื่นเราควรจดรายชื่อแขกทั้งหมด โดยการให้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ของฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว รวมทั้งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง เขียนรายชื่อแขกของตัวเองออกมา เพื่อความสะดวกอาจแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ญาติฝ่ายเจ้าสาว-ฝ่ายเจ้าบ่าว แขกผู้ใหญ่ของทางคุณพ่อ-คุณแม่ เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนสมัยเรียนประถม มัธยม สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งในการจดรายชื่อแนะนำให้ใส่ลำดับที่ด้วยค่ะ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการนับจำนวน

          เจ้าบ่าวเจ้าสาวบางคู่ขี้เกรงใจจึงมักเกิดคำถามว่า จะเป็นการรบกวนหรือเปล่า ในแขกบางรายที่อยู่ไกล หรือไม่สนิทนัก ข้อนี้ขอแนะนำให้คิดง่าย ๆ ว่า เชิญทุกคนที่เรารู้สึกดีกับเค้า แล้วเค้ามีไมตรีกับเรา ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะเป็นการรบกวน เพราะการส่งการ์ดเชิญ หมายถึงการที่เรา หรือผู้ใหญ่ของเรา ยินดีอยากให้เค้าได้มาร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญช่วงหนึ่งในชีวิตของทุก ๆ คน

          เพราะการ์ดเชิญ 1 ใบ สามารถเชิญแขกมากกว่า 1 ท่าน เช่น เชิญเป็นคู่ หรือเชิญทั้งครอบครัวที่อาจจะมีสมาชิกได้ถึง 4 ท่าน ดังนั้น จึงต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับจำนวนของแขกที่มาร่วมงานด้วย เช่น ค่าอาหาร และค่าสถานที่ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของการ์ดแต่งงานและของชำร่วย

          การสั่งพิมพ์การ์ดควรสั่งมากกว่าจำนวนที่กะไว้ซักประมาณ 5 % เพื่อสำรองไว้ในแขกบางรายที่เราอาจพลาดหลงลืมไป เราจะได้มอบการ์ดให้เขาได้ทันท่วงที และในส่วนของซอง ขอให้เผื่อซองมากกว่าจำนวนการ์ดไปอีก เพราะมักจะเกิดเหตุการณ์เขียนหรือพิมพ์ชื่อแขกผิดอยู่เป็นประจำ          - อย่าแจกการ์ดก่อนวันงานนานเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้แขกลืมวันงานของคุณ แล้วยังพลอยทำให้ความตื่นเต้น และความอยากมาร่วมแสดงความยินดี
            ลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้น ควรจะเริ่มแจกการ์ดก่อนวันงานประมาณ 6-8 สัปดาห์ โดยเราอาจจะมีการกล่าวเชิญด้วยปากเปล่าก่อนหน้านี้ก็ได้
          - แขกที่อยู่ต่างจังหวัด คุณควรส่งการ์ดทางไปรษณีย์ และอย่าลืมแนบคำ "ขออภัยที่มิได้เรียนเชิญ ด้วยตนเอง" ไปด้วย พร้อมทั้งควรโทรศัพท์เช็คซ้ำ
            ก่อนวันงานประมาณ 2-3 สัปดาห์
          - แนบแผนที่จัดงานไว้ในการ์ดด้วย เพื่ออำนวยความสะดวก และแขกจะได้ไม่หลงทาง หรือเข้าผิดงาน คงไม่ดีแน่ ถ้าแขกที่ตั้งใจมางานของเราต้องเสียเวลา
            ในการตามหาสถานที่จัดงาน

          ท้ายสุด…เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องไม่ลืมที่จะเชิญแขกคนสำคัญด้วยตัวเองนะคะ โดยเฉพาะแขกผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นคนสำคัญของงาน

ที่มา     www.thaiweddingmall.com

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง



เกร็ดความรู้วันนี้ขอเสนอ ความสวยที่ได้มาจากน้ำผึ้ง
แต่ก่อนจะลงมือทำสวย เรามาทดสอบก่อนดีกว่าว่า น้ำผึ่ง ที่มีอยู่นั้น ของแท้หรือของเทียม

เริ่มจาก นำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเหตุเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน 
หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย...
1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น


2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย
4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับ

น้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น









      ที่มา   www.teenee.com

น้ำผึ้ง… น้ำอมฤตเพื่อสุขภาพ




ย้อนไปในสมัยจักรวรรดิโรมัน น้ำผึ้งมีค่าเทียบเท่าทองคำ จนสามารถใช้ชำระภาษีแทนทองคำได้
สำหรับเรื่องราวของน้ำผึ้งที่ดูจะคล้ายกันทั่วโลก คือ ‘การเป็นน้ำอมฤตเพื่อสุขภาพ’ ด้วยประโยชน์ทางอาหารและยานานัปการ บ่อยครั้งจึงได้เห็นน้ำผึ้งทำหน้าที่เป็นทั้งอาหารและยาในเวลาจำเป็น จนทุกบ้านมักมีน้ำผึ้งติดบ้านกันไว้เสมอทุกยุคทุกสมัย
อัศจรรย์แห่งน้ำผึ้ง
หยดหยาดสีเหลืองทองนี้ผลิตจากฝูงผึ้งนับหมื่นตัวที่ออกจากรังรวงไปหาน้ำหวานจากดอกไม้นับแสนดอกทุกรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นที่มาของอาหารทิพย์ที่กลายเป็นตำนานในการรักษาสุขภาพมานานนับพันปี
วิตามิน น้ำผึ้งเป็นศูนย์รวมวิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 และวิตามินซี ซึ้งให้พลังในการทำงาน ปรับสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ และทำให้ผิวหนัง เส้นผม และกล้ามเนื้อแข็งแรง
แหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นยอด น้ำผึ้งมีส่วนประกอบของน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง จึงเหมาะสำหรับคนที่มีอาการอ่อนเพลีย
สารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ เป็นสารที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย คนสมัยโบราณจึงใช้น้ำผึ้งเป็นยาฆ่าเชื้อแทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งปัจจุบันนิยมนำมาใช้ในการดูแลปัญหาสิวกันอย่างแพร่หลาย

กินน้ำผึ้งเพิ่มพลังงาน
มื้อเช้าสุขภาพกับน้ำผึ้ง ใครที่รู้สึกอ่อนเพลียในยามเช้า หรือไม่มีพลังงานในการเริ่มวันใหม่ ให้ลองเติมน้ำผึ้งลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มเล็กน้อย เพราะนอกจากจะให้พลังงานที่ร่างกายดูดซึมได้ ง่ายแล้ว ยังมีวิตามินที่ช่วยเพิ่มความสดใสอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กินขนมปังโฮลวีตกับน้ำผึ้ง หรือผลไม้รวมราดน้ำผึ้ง จะช่วยให้สดชื่นขึ้น
น้ำผึ้งกับเครื่องดื่มเรียกพลังระหว่างวัน น้ำผึ้งช่วยให้สดชื่นและคลายความอ่อนล้าจากการทำงานได้ เคล็ดลับง่ายๆ เพียงเติมน้ำผึ้งลงไปในเครื่องดื่มสุขภาพที่ชื่นชอบ เช่น น้ำผึ้งผสมมะนาว นมถั่วเหลืองผสมน้ำผึ้ง หรือจะเติมลงในชาก็หอมกรุ่น ให้รสละมุนกลมกล่อม แต่ไม่ควรเติมมากจนเกินพอดี เพราะอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้

เคล็ดลับเลือกน้ำผึ้ง
   วิธีง่ายๆ ในการดูว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือน้ำผึ้งเทียมมีดังนี้ค่ะ ..
   อันดับแรกเลย ให้ลองดมกลิ่นดูว่ามีกลิ่นหอมของดอกไม้ตามที่ระบุเอาไว้บนฉลากหรือไม่ เพราะน้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ผึ้งออกไปเก็บน้ำหวานมาด้วย
   ลักษณะของน้ำผึ้งจะต้องมีความหนืด ไม่ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิห้องหรือที่ที่มีอากาศร้อน ไม่มีสิ่งเจือปนแม้แต่เกสรดอกไม้หรือตัวผึ้ง
   นอกจากนี้น้ำผึ้งต้องเป็นเนื้อเดียวกัน มีสีเดียวกันทั้งขวด ไม่ตกผลึกหรือแยกสีอ่อนสีเข้มอย่างชัดเจน และสีของน้ำผึ้งควรจะเป็นสีอ่อนตามธรรมชาติ หากเจอน้ำผึ้งสีเข้มจนถึงดำ ให้สันนิษฐานว่าเป็นน้ำผึ้งเก่า ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆ จะลดทอนลงไป

เป็นอาหารก็ดี แถมเป็นยาก็เยี่ยมแบบนี้ หาน้ำผึ้งคุณภาพดีติดบ้านไว้สักขวดดีไหมคะ .. :-P

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยาสารชีวจิต     
http://www.doyouknow.in.th

สะเดา-น้ำปลาหวาน-ปลาดุกย่าง





สะเดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีรสขม ซึ่งคนไทยนิยมรับประทานเป็นผักตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น คนไทยชอบรับประทานดอกสะเดาในช่วงต้นของฤดูหนาว เนื่องจากเชื่อว่า การกินสะเดาก่อนที่จะเป็นไข้ป้องกันได้ แต่ถ้ากินเมื่อเป็นแล้ว สามารถรักษาให้หายได้ (แต่ต้องเป็นไข้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ อุตุสมุฎฐานที่ร่างกายปรับไม่ทัน) จะทำให้มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว น้ำมูกใส คนโบราณเรียกว่า ?ไข้หัวลม ?การรับประทานสะเดานั้นคนภาคกลางนิยมรับประทานกับน้ำปลาหวานและปลาดุกย่าง เนื่องจากรสหวานของน้ำปลาหวานจะช่วยกลบรสขมของสะเดาได้ จึงทำให้รู้สึกรสชาติกลมกล่อม(อร่อย) เจริญอาหารยิ่งขึ้น
เครื่องปรุง
  • น้ำตาลปีบ2 ถ้วย (200 กรัม)
  • น้ำมะขามเปียกข้น ๆ? ถ้วย (80 กรัม)
  • น้ำปลา? ถ้วย (80 กรัม)
  • หอมแดงเจียว? ถ้วย (50 กรัม)
  • กระเทียมเจียว? ถ้วย (50 กรัม)
  • พริกขี้หนูแห้งหั่นบางๆทอดกรอบ? ถ้วย (50 กรัม)
  • ดอกสะเดาอ่อน5-10 กำ (500 กรัม)
  • ปลาดุกอุย? ตัว (400 กรัม)
  • น้ำมันพืชสำหรับทา1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
วิธีทำน้ำเครื่องปรุงน้ำปลาหวาน
1. ล้างสะเดาให้สะอาด อย่าให้ช้ำ ต้มน้ำให้เดือดเทใส่ภาชนะที่ใส่สะเดาไว้ให้ท่วม ปิดฝา
2. ผสมน้ำตาล น้ำมะขาม น้ำปลา เข้าด้วยกัน ตั้งไฟกลางค่อนข้างเคี่ยวจนเหนียวพอเคลือบพายติด ยกลง
3. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยหอมแดง กระเทียม พริกเสิร์ฟพร้อมสะเดา และปลาดุกย่าง
เครื่องปรุงปลาดุกย่าง1. ล้างปลาให้สะอาด ผ่าท้อง ควักไส้ออก ล้างให้สะอาด บั้งปลาเฉียงๆ ทั้งสองด้าน
2. นำปลาขึ้นย่างบนตะแกรงที่ทาน้ำมันไว้แล้ว หรือจะทาที่ตัวปลาก็ได้ ย่างไฟกลาง จนสุกเหลืองทั้งสองด้าน
วิธีการลวกสะเดาให้นำดอกสะเดาลวกในน้ำเดือด หรืออาจใช้วิธีต้มลงในน้ำเดือดหรือน้ำข้าวร้อนๆ เพื่อลดความขมลงก็ได้ มรกรณีที่ดอกสะเดาออกมาก รับประทานไม่ทัน ชาวบ้านจะมีวิธีเก็บสะเดาไว้รับประทานนานๆ (การถนอมอาหาร) โดยการเก็บดอกสะเดามาลวก 1 ครั้ง แล้วนำไปตากแดดจนแห้งสนิท เก็บไว้ในที่สะอาดและโปร่ง เมื่อต้องการจะรับประทานก็นำดอกสะเดาแห้งมาลวกน้ำร้อนอีกครั้งหนึ่งก็จะได้สะเดาที่มีรสจืด (ไม่ขมหรือขมน้อย) ลักษณะเช่นเดียวกับสะเดาสดทุกประการ
สรรพคุณทางยา1. ดอกสะเดา รสขมจัด ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุ แก้ไข้หัวลม
2. น้ำมะขามเปียก รสเปรี้ยว แก้ไอ ขับเสมหะ เป็นยาระบายแก้ท้องผูก
3. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
4. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคทางผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
5. พริกขี้หนูแห้ง รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
ประโยชน์ทางอาหารสะเดา-น้ำปลาหวาน-ปลาดุกย่าง นิยมใช้เป็นผักในช่วยฤดูหนาว โดยการนำมาลวกกับน้ำร้อน รับประทานกับน้ำปลาหวานและปลาดุกย่าง เพื่อช่วยบรรเทาความร้อนและเจริญอาหาร พร้อมๆ กับการป้องกันการเกิดไข้หัวลมในช่วงที่ธาตุน้ำกระทบธาตุไฟในต้นฤดูร้อน สะเดารสขมจึงบำรุงธาตุไฟและธาตุน้ำเป็นอย่างดี ปรับธาตุทั้งสองเป็นลำดับใครรู้สึกว่าธาตุใดแปรปวนก็แต่งรสให้สอดคล้องตามธาตุของตัวเอง บางครั้งมีปลาเผา ปลาดุดย่าง รับประทานร่วมด้วยก็ยิ่งเสริมธาตุดินมากยิ่งขึ้น
คุณค่าทางโภชนาการสะเดา-น้ำปลาหวาน-ปลาดุกย่าง 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 1938 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
- น้ำ 96 กรัม
- โปรตีน 27.8 กรัม
- ไขมัน 16.1 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 331.3 กรัม
- กาก 24.6 กรัม
- ใยอาหาร 8 กรัม
- เถ้า 2.5 กรัม
- แคลเซียม 2038.2 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 751.7 มิลลิกรัม
- เหล็ก 72.5 กรัม
- เรตินอล 2.2 ไมโครกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 18055 ไมโครกรัม
- วิตามินเอ 25388 IU
- วิตามินบีหนึ่ง 139.34 มิลลิกรัม
- วิตามินบีสอง 1.2 มิลลิกรัม
- ไนอาซิน 24.85 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 984.40 มิลลิกรัม


ที่มา    http://www.samunpri.com  

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

9 สูตรลดน้ำหนัก วิธีลดความอ้วน สำหรับสาวอยากผอม

สูตรลดน้ำหนัก ลดความอ้วน

  ความอ้วนกับสาวๆ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ยิ่งถ้าเกิดใครมาทักว่า "นี่เธอดูอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย" คงจะถึงขั้นตัดเพื่อนตัดพี่น้องกันเลยทีเดียว อิอิ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะเพราะวันนี้เรารวบรวม สูตรลดน้ำหนัก เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วน ภายในช่วงเวลาที่เราต้องการ ตั้งแต่ 3 วัน ถึง 1 เดือน มาฝากสาวๆ ด้วย เอ้า...ไหนมาดูซิ ว่ามี สูตรน้ำหนัก อะไรน่าสนใจบ้างเอ่ย
สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 1: สูตรลดน้ำหนัก ของสมเด็จพระเทพฯ 

         เป็นสูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ค่ะ โดยก่อนรับประทานอาหาร ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว และจัดอาหารแต่ละมื้อ ดังนี้

 วันที่ 1 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 2 

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
          มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : โยเกิรต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

 วันที่ 4

          มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : โยเกิรต์

 วันที่ 5

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
          มื้อเย็น : สลัดผัก

 วันที่ 6

          มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
          มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา
          มื้อเย็น : นมสด

 วันที่ 7

          มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก
          มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
          มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

         ส่วนวันที่แปด มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น สามารถรับประทานอาหารอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มรับประทานเหมือนที่ทำตั้งแต่วันแรกค่ะ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 2  : สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน

         โดยทั้งสามวัน คุณสาวๆ ต้องดื่มน้ำ 2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อค่ะ และต้องรับประทานอาหารดังนี้

 วันที่ 1   

         ตื่นมา ถ่ายให้หมด และ ดื่มน้ำสะอาด  1 ลิตร
          มื้อเช้า : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ส้มขนาดกลางหวานไม่มาก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไอศกรีม รสวนิลา 1 ลูก +แครอท น้ำบุรูท ประมาณ 50 กรัม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ปลาทูน่า + มะเขือเทศ สีดา 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

 วันที่ 2
         
          มื้อเช้า :แก้วมังกร + แฮม 2 แผ่น + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :ไข่ต้มกินไข่ขาว + ถั่วฝักยาว ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ผักกาดต้ม + แคนตาลูบ ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : ปลาทูน่า + ส้มเขียวหวาน ขนาดเล็ก 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อกลางวัน :แกงส้ม กินแต่ผัก + กินเปลือกกุ้ง + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
          มื้อเย็น : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ลูกพรุนแห้ง 2 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

         ระหว่างนี้ห้ามทานของมัน หรือของทอดเด็ดขาดค่ะ หลังจากรับประทานครบ 3 วันแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ

สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 3: สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน

         นี่ก็เป็นสูตรลดน้ำหนัก 3 วัน อีกเช่นกัน สำหรับสาวใจร้อน อยากลดน้ำหนักเร็วๆ โดยทั้งสามวัน คุณสาวๆ ต้องรับประทานอาหารดังนี้

 วันที่ 1

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ส้มโอ 1/2 ผล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ถั่วเหลืองในซอสมะเขือเทศ
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ปลาทูน่า 4 ออนซ์ (ประมาณ 115 กรัม)  ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น
          มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์
    
 วันที่ 2

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1/2 ผล
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Coltage Cheese (คล้ายโยเกิร์ต) 120 กรัม
          มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น บร็อคคอลรี่ต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ กล้วยหอม 1/2 ผล
    
 วันที่ 3

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Cheddar Cheese 1 แผ่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล
          มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง
          มื้อเย็น : ปลาทูน่า 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ ดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ แคนตาลูป 1/2 ผล

หมายเหตุ

          1. ขนมปังปิ้งต้องปิ้งจนแห้ง ห้ามทาเนยหรือมาการีน
          2. แคร๊กเกอร์ต้องเป็นรสเค็ม
          3. ปลาทูน่าและถั่วฝักยาวสามารถแช่แข็งได้
          4. อาหารชุดนี้จะทำปฏิกิริยาทางเคมีซึ่งกันและกัน และพิสูจน์ได้

ข้อห้าม

          1. ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอาหารอื่น ห้ามใช้เครื่องปรุงอื่น นอกจากเกลือและพริกไทย
          2. รายการใดที่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ให้ใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม 

         สูตรอาหารนี้ให้ใช้ติดต่อกัน 3 วัน ภายใน 3 วัน ควรลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัม หลังจาก 3 วัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติค่ะ
 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 4 : สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน 

         สาวๆ ที่สนใจ สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน ควรจัดอาหารรับประทานดังนี้

 วันที่ 1

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
          มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

 วันที่ 2
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
          มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
          มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

 วันที่ 4

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
          มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ

 วันที่ 5
          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
          มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส

 วันที่ 6

          มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
          มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม

 วันที่ 7

          มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
          มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
          มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 5 : สูตรลดน้ำหนัก ใน 13 วัน

         มาลองดูกันหน่อย สูตรลดน้ำหนัก ใน 13 วันมีอะไรบ้างเอ่ย

 วันที่ 1

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /ผักกาดต้ม 3 ขีด /มะเขือเทศสด 1 ผล 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว 

 วันที่ 2

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย 
          มื้อกลางวัน : เนื้อหมูอบ 2.5 ขีด /โยเกริ์ต 1 ถ้วย 
          มื้อเย็น: เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว /ผลไม้ 1 ผล 

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /เนื้อหมูอบ 1 ขีด / สลัด /น้ำมะนาว 
          มื้อเย็น : คื่นช่ายต้มสุก 3 ขีด/ มะเขือเทศ 1 ผล /ผลไม้ 1 ผล 

 วันที่ 4 

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย /ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : น้ำส้มคั้น 1 แก้ว/ โยเกริ์ต 1 ถ้วย 
          มื้อเย็น : ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง / แครอทสด 1 หัว/นมจืด 1 กล่อง 

 วันที่ 5

          มื้อเช้า : แครอทสด 1 หัว(ราดด้วยน้ำมะนาว) 
          มื้อกลางวัน : เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด 

 วันที่ 6

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง/ แครอทสด 1 หัว 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด/ สลัด /น้ำมะนาว 

 วันที่ 7

          มื้อเช้า : ชา 1 ถ้วยไม่ใส่น้ำตาล/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : น้ำเปล่าอย่างเดียว 
          มื้อเย็น : หมูอบ 2 ขีด / ผลไม้ 1 ผล 

 วันที่ 8

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /ผักกาดต้ม 3 ขีด /มะเขือเทศสด 1 ผล 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว 

 วันที่ 9

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย 
          มื้อกลางวัน : เนื้อหมูอบ 2.5 ขีด /โยเกริ์ต 1 ถ้วย 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด /น้ำมะนาว /ผลไม้ 1 ผล 

 วันที่ 10

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง /เนื้อหมูอบ 1 ขีด / สลัด /น้ำมะนาว 
          มื้อเย็น : คื่นช่ายต้มสุก 3 ขีด/ มะเขือเทศ 1 ผล /ผลไม้ 1 ผล 

 วันที่ 11

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย /ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : น้ำส้มคั้น 1 แก้ว/ โยเกริ์ต 1 ถ้วย 
          มื้อเย็น : ไข่ต้มแข็ง 1 ฟอง / แครอทสด 1 หัว/นมจืด 1 กล่อง 

 วันที่ 12

          มื้อเช้า : แครอทสด 1 หัว(ราดด้วยน้ำมะนาว) 
          มื้อกลางวัน : เนื้อปลากะพงนึ่ง 2 ขีด 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด /สลัด 

 วันที่ 13

          มื้อเช้า : กาแฟดำ 1 ถ้วย/ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้มแข็ง 2 ฟอง/ แครอทสด 1 หัว 
          มื้อเย็น : เนื้อไก่อบ 2 ขีด/ สลัด /น้ำมะนาว

สำหรับสูตรลดน้ำหนัก 13 วันนี้ มีข้อห้ามด้วยนะคะ สำคัญมากๆ คือ

          ใน 13 วันนี้ ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ เหล้า ไวน์ หมากฝรั่ง หรือขนมที่มีรสหวานเด็ดขาด

          หากเผลอทานนอกเหนือจากสูตร และต้องการจะเริ่มควบคุมอาหารใหม่อกครั้ง ต้องเริ่มทานสูตรนี้ใหม่ หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว 

          หากควบคุมอาหารตามสูตรได้แล้วถึงวันที่ 6 แต่ล้มเหลว จะสามารถเริ่มทานอาหารสูตรนี้ใหม่ได้ เมื่อผ่าน 3 เดือนไปแล้ว

          หากทานอาหารตามสูตรนี้ได้ครบ 13 วันแล้ว ยังต้องการจะควบคุมอาหารอีก ควรทำหลังจาก 1 ปีไปแล้ว หรือถ้าเลย 2 ปีไปได้ จะดีที่สุดค่ะ

นอกจากนี้ สูตรลดน้ำหนัก 13 วัน ยังมีรายละเอียดปริมาณอาหารที่กำหนดไว้คือ
          1.กาแฟดำ.. ให้ใส่น้ำตาลได้ 1 ช้อน ถ้าไม่ใส่ได้ จะดีที่สุดค่ะ
          2.ผักต้ม.. ถ้าใช้ผักขมไทยได้จะดีมาก หรือถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ผักกาดขาว หรือผักกวางตุ้งแทนก็ได้
          3.มะเขือเทศสด.. ถ้าผลใหญ่ให้ทาน 1 ผล ถ้าผลเล็กให้ทาน 2-3 ผล
          4.เนื้อไก่อบ..ใช้เนื้อสัน หรือเนื้อหน้าอกที่ไม่ติดมันหรือหนังเลย 2 ขีด ส่วนเนื้อหมูก็ต้องไม่ติดมันเลยเหมือนกัน
          5.สลัด..ใช้ผักกาดหอม 1 ต้นเล็ก หอมใหญ่ 1 หัว แตงกวา 2 ลูก นำมาหั่นรวมกันจะได้ประมาณ 1 จาน แล้วราดด้วยน้ำสลัดใสเท่านั้น 1 ถ้วย (ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ)
          6.น้ำมะนาว..ใช้มะนาวสด 1-2 ลูก คั้นเอาน้ำ แล้วชงน้ำร้อนใส่เกลือ (ใส่น้ำแข็งก็ได้)
          7.โยเกิร์ต..รสจืด (รสธรรมชาติ) จะดีที่สุด
          8.ผลไม้สด 1 ผล..ให้เลือกทานคือ ส้ม ชมพู่ แอปเปิ้ล ฝรั่ง หรือผลไม่ที่ไม่เป็นแป้งและต้องไม่หวาน
          9.ปลานึ่ง..ใช้ปลาช่อนแทนปลากระพงได้ แต่ไม่ว่าปลาอะไรก็จะต้องไม่ติดหนังเลย
          10.ไข่ต้ม..ต้องต้มให้สุกๆ เลยค่ะ
          11.น้ำเปล่าดื่มได้ทั้งวัน วันละ 1-2 ลิตร ถ้าหิว..ให้ดื่มน้ำเปล่าได้อย่างเดียว "เท่านั้น" เพราะน้ำเปล่าสามารถดื่มได้ทั้งวัน เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 6: สูตรลดน้ำหนัก ใน 2 สัปดาห์

         หากสาวใดคิดว่า 3 วัน 7 วัน เร็วไป กลัวไม่ได้ผลล่ะก็ มาลอง สูตรลดน้ำหนัก 2 สัปดาห์กันดีกว่า โดยตลอด 2 สัปดาห์ ให้จัดมื้ออาหาร และปฏิบัติตัวดังนี้
          1. มื้อเช้ากินไข่ต้ม 1 ฟองหรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย 
          2. มื้อกลางวันกินสลัดผัก 1 จาน หรือส้มตำ 1 จาน (อย่าปรุงรสหวานนะคะ) 
          3. มื้อเย็นกินแอปเปิ้ล 1 ผล หรือแฮมนึ่ง 1 แผ่น 
          4. งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวให้ดื่มน้ำมากๆ แทน 
          5. เต้นแอโรบิก 60 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์

         ทำตามนี้ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รับรองว่า น้ำหนักส่วนเกินของคุณสาวๆ หายไปในพริบตาแน่นอน

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 7  : สูตรลดน้ำหนัก ใน 2 สัปดาห์

         นี่ก็เป็น สูตรลดน้ำหนัก ในสองสัปดาห์อีกเช่นกัน โดยแต่ละวันให้จัดอาหาร คือ

 วันที่ 1

          มื้อเช้า : กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ ผักขมจีน นำไปทำอะไรก็ได้ โดยใส่เกลือน้อยๆ
          มื้อเย็น : เนื้อสันทอดน้ำมันน้อยๆ (น้ำมันมะกอกจะดีที่สุด) , สลัดผักเขียว และผลไม้อะไรก็ได้ตามต้องการ

 วันที่ 2

          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปัง 1 ก้อน (ขนมปังปกติ 3 แผ่น)
          มื้อกลางวัน : สเต็กก้อนใหญ่ และ สลัดผักเขียว และ ผลไม้ตามใจชอบ
          มื้อเย็น : แฮมต้มตามต้องการ

 วันที่ 3

          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 2 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ สลัดมะเขือเทศตามต้องการ
          มื้อเย็น : แฮมต้มตามต้องการ

 วันที่ 4
          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 1 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟอง และ หัวแครอทต้มกินกับเนยแข็ง (เนยสวิส)
          มื้อเย็น : ผลไม้ และ โยเกิร์ตเปรี้ยว

 วันที่ 5

          มื้อเช้า : แครอทต้มใส่น้ำมะนาว และกาแฟดำ
          มื้อกลางวัน : ปลานึ่ง และ มะเขือเทศ
          มื้อเย็น : สเต็ก และ สลัดผักเขียว

 วันที่ 6

          มื้อเช้า : กาแฟดำ และ ขนมปังก้อน 1 ก้อน
          มื้อกลางวัน : ไก่ย่างตามต้องการ
          มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง และ แครอทต้ม

 วันที่ 7

          มื้อเช้า : ชาใส่มะนาว
          มื้อกลางวัน : ผลไม้ตามต้องการ
          มื้อเย็น : รับประทานอาหารตามปกติ

         พอวันที่ 8 ก็ให้ย้อนกลับไปรับประทานอาหารตามวันที่ 1 ใหม่ หากทำครบ 2 สัปดาห์แล้ว สาวๆ ควรจะลดน้ำหนักลงไปได้อย่างน้อย 7 กิโลกรัมค่ะ และที่สำคัญระหว่างลดน้ำหนัก ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมเด็ดขาดค่ะ
 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 8 : สูตรลดความอ้วนจากฝรั่งเศส 24 วัน

         สูตรนี้ส่งตรงมาจากเมืองน้ำหอมเลยทีเดียว กับสูตรลดความอ้วน 24 วัน โดย อาหารของเก้าวันแรก ประกอบด้วย
          มื้อเช้า : ส้มโอ และกาแฟ หรือชา

          มื้อกลางวัน : เป็นเนื้อสัตว์ล้วนๆ ไม่มีข้าว ไม่มีผัก ไม่มีนม และไข่ สามารถใส่ซอสได้ กินได้มากเท่าที่ต้องการไม่จำกัด แต่มีข้อแม้ว่าในหนึ่งมื้อให้กินเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นค่ะ เช่น หมูล้วน ไก่ล้วน ปลาล้วน เพื่อให้กระเพาะอาหารสามารถทำงานได้ดี มากกว่าการกินปนกันที่จะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น โดยเนื้อสัตว์นั้น เนื้อหมูจะมีไขมันมากที่สุด ตามมาด้วยเนื้อวัว ส่วนอาหารทะเลจะมีไขมันน้อย นอกจากนี้อาหารต้ม นึ่ง เผา จะมีแคลอรีน้อยกว่าอาหารทอด เช่นนั้นแล้ว ลองเลือกดูนะคะว่า จะทานอะไร  

         อาหารแนะนำคือสเต็กพริกไทย ปลาสำลีเผา กุ้งอบเกลือ สตูว์เนื้อไม่ใส่ผัก ปลากระพงย่างบีบมะนาว หมูทอดกระเทียม แกงจืดหมูสับล้วน ระวังอย่ากินผักและข้าวเป็นพอ

          มื้อเย็น : ให้กินแต่ข้าวกล้องล้วนๆ แต่สามารถเติมซอสได้ ผัดกับกระเทียมได้ ใส่ซีอิ้ว พริกไทยได้หมดค่ะ แต่ห้ามไม่ให้มีนมกับไข่ผสมเด็ดขาด ผักและเนื้อสัตว์กินไม่ได้เช่นกัน อาหารแนะนำ คือ ข้าวผัดกระเทียมใส่ซีอิ๊วขาว ข้าวผัดกะปิ ข้าวคลุกมันกุ้ง ข้าวผัดมันปู ข้าวคลุกน้ำพริกตาแดง ข้าวคลุกน้ำพริกต่างๆ ข้าวคลุกพริกป่นบีบมะนาว

         สามวันต่อมา แม้ว่า น้ำหนักของคุณสาวๆ จะเริ่มลดไปบ้างแล้ว แต่ยังหยุดไม่ได้ค่ะ ต้องรับประทานต่อ โดย มื้อเช้ายังคงเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นเป็นผลไม้ล้วนๆ ห้ามมีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง จะทานผลไม้อะไรก็ได้ ทุเรียน มะม่วง ก็ไม่ว่า (แต่น้ำหนักอาจลดน้อยกว่าที่ควร) และต้องกินเป็นมื้อ อย่ากินจุบจิบ

         เก้าวันชุดที่ 2 อาหารเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อที่เหลือเป็นผักล้วน มันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด ทานได้ค่ะ อาหารแนะนำ ได้แก่ คะน้าผัดน้ำมันหอย ผักนึ่งจิ้มน้ำพริก ผัดผักทุกอย่าง สลัดผักน้ำใส (ที่ไม่ใส่นม ไข่ และน้ำตาล)

         และสามวันสุดท้าย มื้อเช้าเหมือนเดิมค่ะ ส่วนมื้อกลางวันและเย็นให้ทานเป็นผลไม้ล้วนๆ 

         ถ้าทำได้ครบและเคร่งครัด รับรองว่า น้ำหนักของคุณสาวๆ ลดได้แน่ๆ เลย แต่มีควรข้อระวังนะคะ หากนับวันผิด หรือเผลอทานนอกเหนือจากที่กำหนดไป ก็ต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกค่ะ และถ้าครบ 24 วันแล้ว ก็สามารถกลับไปทานอาหารแบบเดิมได้  แต่ถ้าอยากผอมตลอด โดยไม่อยากควบคุมปริมาณอาหาร ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้คือ 

          หากจะทานเนื้อ ให้ทานเนื้อชนิดเดียวกัน และให้กินร่วมกับผัก ห้ามกินรวมกับพวกแป้ง

          หากจะกินอาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว ก็ไม่ควรทานพร้อมกับโปรตีน ให้ทานกับผักแทน

          ผลไม้จะทานในปริมาณเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ เพราะเป็นอาหารที่ใช้เวลาอยู่ในกระเพาะน้อย แต่เป็นอาหารหนัก ทำให้อิ่มนาน ดังนั้นเพื่อสุขภาพควรทานผลไม้ก่อนทานอาหารหลัก ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ผลไม้ไปตัดกำลังอาหารหลักนั่นเอง เราก็จะทานอาหารได้น้อยลง

 สูตรลดน้ำหนัก สูตรที่ 9 : สูตรลดน้ำหนักใน 1 เดือน

         ใครชอบสูตรลดน้ำหนักระยะยาว ต้องลองสูตรลดน้ำหนัก ใน 1 เดือนค่ะ โดยจะมีรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็น และผลไม้ ให้เลือกเป็นข้อๆ แต่ละวันก็เลือกมามื้อละ 1 ข้อ และผลไม้ 1 อย่างค่ะ ส่วนผักจะทานเท่าไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน ส่วนอาหารแต่ละมื้อ มีอะไรให้เลือกบ้าง ไปดูกัน

 มื้อเช้า
          1. กาแฟดำ 1 ถ้วย และ ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น
          2. นมพร่องมันเนย 1 แก้ว และ ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น
          3. โยเกิรต์ไขมันต่ำ 1 ถ้วย
          4. ขนมปังทาน้ำผึ้ง 1 แผ่น
          5. ข้าวต้มไก่, กุ้ง 1 ถ้วย ไม่ใส่น้ำมัน หรือ กระเทียมเจียว (ข้าวปริมาณ 1 ทัพพีเล็ก)
          6. ผลไม้

 มื้อกลางวัน และมื้อเย็น

          1. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ แกงส้ม, แกงเลียง, แกงป่า (เลือกมา 1 อย่าง แต่ห้ามทานแกงกะทิเด็ดขาด)
          2. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ ต้มจืดตำลึง (อาจเปลี่ยนเป็นผักอย่างอื่นก็ได้ ไม่ใส่น้ำมัน)
          3. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ เกาเหลาผักเยอะๆ 1 ถ้วย
          4. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ น้ำพริก, ผักสด, ผักลวก (ไม่จำกัดปริมาณผัก)
          5. ข้าวสวย 1 ทัพพี และ ไข่ต้ม 1 ฟอง และผักไม่จำกัดปริมาณ
          6. ขนมจีน 1 จับ และ น้ำยาป่า และ ผักไม่จำกัดปริมาณ (ห้ามทานน้ำกะทิ)
          7. ข้าวเหนียว 1 ปั้น และ ส้มตำไม่ใส่น้ำตาล ไก่ย่าง 1 ไม้ ไม่ติดมัน และหนัง
          8. สลัดผัก (ไก่, กุ้ง, ไข่) โดยน้ำสลัดต้องเป็นน้ำใสถ้าจะเป็นน้ำข้นต้องเป็นชนิดไขมันต่ำ 1 จาน
          9. สเต็ก หมู, ไก่, ไม่ติดมัน และ ผักไม่จำกัดปริมาณ
          10. ผลไม้

 ผลไม้
          1. สัปปะรด 1 จานเล็ก
          2. ส้มโอ 1 จานเล็ก
          3. ฝรั่ง 1 ลูก
          4. ส้มเขียวหวาน 2 ลูก
          5. แอปเปิ้ล 1 ลูก
          6. แตงโม 1 จานเล็ก
          7. มะละกอ 1 จาน

         สูตรนี้ไม่จำกัดระยะเวลาค่ะ แต่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 เดือน และงดอาหารจุบจิบ อาหารหวาน เครื่องในสัตว์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด ถ้าลองปฏิบัติตามนี้แล้ว ในเวลา 1 เดือน ควรลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5-8 กิโลกรัม
         มีสูตรลดน้ำหนัก ให้สาวๆ ลองเลือกขนาดนี้ ใครชอบ สูตรลดน้ำหนัก ไหนก็ลองเลือกใช้ เลือกปฏิบัติกันดูนะคะ แต่ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้เห็นผลที่ชัดเจนค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก  http://www.kapook.com